เหมาะกับฤดูกาล

รหัส :

ทัวร์ทวีปเอเชีย

6วัน 4คืน

ต.ค.

อาหาร : มื้อ

Thai Airways

ราคาเริ่มต้น : ราคาอาจมีการปรับเปลี่ยน

เริ่มต้น 49,000 บาท / ท่าน

ไฮไลท์ทัวร์

6 รายการ โปรแกรมทัวร์

คลิกอ่านโปรแกรม

สถานที่ท่องเที่ยว

รายละเอียดทัวร์

วันที่ 1 กรุงเทพมหานคร – สนามบินมุมไบ

16.00 น. พร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ ผู้โดยสารขาออก ชั้น4 เคาน์เตอร์ H สายการบินไทย เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ คอยให้การต้อนรับ และอำนวยความสะดวกในการเช็คอิน
18.55 น. เดินทางออกจากกรุงเทพ สู่เมืองมุมไบ โดยสายการบิน THAI AIRWAYS (TG) เที่ยวบินที่ TG317 (สายการบินบริการอาหารบนเครื่อง)
21.55 น. เดินทางถึงสนามบินฉัตราปตีศิวะจิ (Chhatrapati Shivaji International Airport) เมืองมุมไบ ประเทศอินเดียหลังผ่านพิธีการ ตรวจคนเข้าเมือง และศุลกากรแล้ว รถโค้ชปรับอากาศรอรับท่านที่สนามบิน นำท่านเช็คอินและได้พักผ่อนเติมพลังก่อนเดินทางแสวงบุญในวันรุ่ง
(เวลาท้องถิ่นของเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ช้ากว่าประเทศไทย 1.30 ชั่วโมง)
ที่พัก Radisson Blu Mumbai Airport หรือเทียบเท่าระดับ 5 ดาว

วันที่ 2 มุมไบ – มาหัส – ปาลี – ปูเน่

นำท่านเดินทางสู่ หมู่บ้านมาหัส (Mahad) ระยะทาง 183 กม. ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของเมืองไรกาด (Raigad) ซึ่งมีความเชื่อว่า เป็นสถานที่ที่พระศรีวรทาวินายกะ (ผู้ประทานพรอันยิ่งใหญ่) อวตารขององค์พระพิฆเนศเสด็จลงมาประทานพรแก่ฤาษีคฤตสมาชผู้ต้องคำสาป ตามตำนานปรากฏในคเณศปุราณะ และมุทคลปุราณะ
นำท่านสักการะ เทวรูปพระพิฆเนศ ณ เทวสถานศรีวรทาวินายกะ (SHREE VARADA VINAYAK TEMPLE) โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และงวงหันไปทางซ้าย ภายในวิหารที่ประดิษฐานพระวรทาวินายกะแห่งนี้ได้รับแสงสว่างจากตะเกียงน้ำมันที่มีความเชื่อว่าไม่เคยมอดดับตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช 1892 โดยวิหารแห่งนี้มีพื้นที่ประมาณ 19.5 ตารางเมตร และยอดโดมสูงประมาณ 7.62 เมตร ปลายยอดโดมทำด้วยทองคำ และเป็นเทวสถานแห่งเดียวที่อนุญาตให้เข้าไปสักการะภายในวิหารได้ ภายนอกวิหารจะปรากฏช้างจำนวน 4 เชือก ประดิษฐานอยู่ทั้ง 4 ด้าน

ॐ “องค์ที่ 1 พระศรีวรทาวินายกะ” ประทานมนตราที่ทำให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง ॐ
ได้เวลาพอสมควรนำท่านเดินทางสู่เมืองปาลี (Pali) ระยะทาง 73 กม. ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของเมืองไรกาด (Raigad) ซึ่งมีความเชื่อว่า เป็นสถานที่ที่เด็กหนุ่มนามว่า “บัลลา” บุตรของนายกัลยันกับนางอินทุมาตี และเป็นผู้นับถือนิกายคณะพัทยะ (Ganabadya) หรือนิกายที่นับถือพระพิฆเณศเป็นเทพเจ้าสูงสุด ได้ถูกพ่อของตนหรือนายกัลป์ยันทำลายแท่นพิธีบูชา เขวี้ยงหินพระคเณศทิ้ง และได้ทำร้ายเด็กหนุ่มผู้นี้ จนกระทั่งพระพิฆเนศเสด็จลงมาประทานพรให้แก่เด็กชายบัลลา และเนรมิตเทวสถานแห่งนี้พร้อมกับสวยัมภูมูรติ ณ ที่แห่งนี้ ตามตำนานปรากฏในคเณศปุราณะ
เที่ยง  รับประทานอาหารกลางวัน แบบ Boxset โดยโรงแรมที่พัก
บ่าย นำท่านสักการะ เทวรูปพระพิฆเนศ ณ เทวสถานศรีบัลลาเลศวร (SHREE BALLALESHWAR TEMPLE) โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และงวงหันไปทางซ้าย บริเวณพระเนตร และพระนลาฏ (หน้าผาก) ประดับด้วยเพชร ประทับอยู่บนบัลลังก์ไม้แกะสลัก โดยมี มุสิกะ หนูเทวพาหนะของพระองค์ท่าน เหยียบขนมโมทกะอยู่บริเวณด้านหน้าของเทวรูป บริเวณด้านหลังเทวสถานแห่งนี้จะปรากฏ เทวสถานศรีทุนธิ (SHREE DHUNDI TEMPLE) ที่ประดิษฐานหินพระคเณศ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นหินพระเคณศเดียวกับที่ถูกนายกัลยัน บิดาของเด็กหนุ่มบัลลาเขวี้ยงทิ้ง

ॐ“องค์ที่ 2 พระศรีบัลลาเลศวร” ประทานมนตราแห่งความสมบูรณ์พูนสุข
ที่จะบังเกิดต่อครอบครัว และคนรัก ॐ
ได้เวลาพอสมควรเดินทางกลับสู่ เมืองปูเน่ (Pune) ระยะทางประมาณ 120 กม. เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 8 ของประเทศอินเดีย ที่ตั้งอยู่บริเวณที่ราบสูงเดคคานริมฝั่งแม่น้ำมุธะ (Mutha River) ในอดีตเมืองปูเน่ยังเคยเป็นศูนย์กลางอำนาจของอาณาจักรมาราธา (Maratha Empire) ภายใต้การปกครองของผู้ปกครองแคว้น พระเจ้าชาตปตี ชาห์วาจิ (Chatrapati Shavaji) ในปีคริสต์ศักราช 847 ต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 18 เมืองปูเน่มาถึงจุดรุ่งเรืองที่สุดเมื่อได้รับการสถาปนาให้เป็นเมืองหลวงด้านการปกครองอินเดียอนุทวีปโดยมีการแต่งตั้งตำแหน่งที่เทียบเท่ากับประธานาธิบดีแห่งอาณาจักรมาราธา เมืองปูเน่ ในยุคปัจจุบันถือได้ว่าเป็นเมืองหลวงทางด้านวัฒนธรรมของแคว้นมหารัชตะ โดยที่เมืองปูเน่นั้นมีชื่อเสียงด้านอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ สถาบันการวิจัยและค้นคว้าของภาครัฐและเอกชน เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือแม้กระทั่งด้านการศึกษา การจัดการและการอบรม
ค่ำ  รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก
ที่พัก Conrad Hotel Pune หรือเทียบเท่าระดับ 5 ดาว

วันที่ 3 ปูเน่ – โมรากอน – สิทธาเทค – เทอูร์ – ปูเน่

07.00 น.  รับประทานอาหารเช้าภายในโรงแรมที่พัก
นำท่านเดินทางสู่ หมู่บ้านโมรากอน (Morgaon) ระยะทาง 67 กม. หรือหมู่บ้านนกยูง ซึ่งตัวหมู่บ้านมีลักษณะทางภูมิศาสตร์คล้ายกับนกยูง อีกทั้งในอดีตยังเป็นที่พำนักของฝูงนกยูงจำนวนมาก หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตปกครองของเมืองปูเน่ ซึ่งมีความเชื่อว่า เป็นสถานที่ที่ศีรษะของอสูรสินธุตกลงมา จากการทำมหายุทธ์กับพระศรีมยุเรศวร ปางขององค์พระพิฆเนศทรงมยุรา (หรือนกยูง 1 ใน 3 เทวพาหนะ) เสด็จลงมาปราบสินธุอสุรา และได้สังหารโดยการบั่นศีรษะของอสูรตนนี้ จนเกิดปาฏิหาริย์ที่เลือดของอสูรฉาบทาไปทั่วสวรรค์ บันดาลเป็นผงสีชาดที่ใช้ในการบูชาเทพเจ้า ที่เรียกว่า “ผงสินธุ” และยังเป็นสถานที่เหล่าปัญจเทวตา ที่ประกอบไปด้วย พระศิวะ พระวิษณุ พระพรหม พระศักติ และพระสุริยะ ได้ทรงขอให้พระพิฆเนศเสด็จประทับ ณ สถานที่แห่งนี้ตลอดไป พระพิฆเนศจึงเนรมิตสวยัมภูมูรติ ซึ่งแสดงถึงการคุ้มครองหมู่บ้านแห่งนี้สืบต่อไป ตามตำนานปรากฏในคเณศปุราณะ
นำท่านสักการะ เทวรูปพระพิฆเนศ ณ เทวสถานศรีมยุเรศวร (SHREE MAYURESHWAR GANAPATI TEMPLE) โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้จะมีงวงหันไปทางซ้าย โดยมีพระมเหสี 2 พระองค์ คือพระนางสิทธิ และพระนางพุทธะ ประทับอยู่ทั้ง 2 ด้าน
เทวสถานแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรพาหามณี ตั้งอยู่ตรงกลางของหมู่บ้านโมรากอน ลักษณะภายนอกจะปรากฏเสามินาเร่ต์ทั้งสี่มุม มีทางเข้า 4 ด้าน ยกกำแพงล้อมรอบสูง 15 เมตร คล้ายคลึงกับมัสยิดทางศาสนาอิสลาม เพื่อเป็นการป้องกันการรุกรานเทวสถานแห่งนี้ในยุคสมัยโมกุล

ॐ “องค์ที่ 3 พระศรีมยุเรศวร” ประทานมนตราที่จะให้ท่านปราศจากอุปสรรค
และอันตรายใดๆ ทั้งปวง ॐ

จากนั้นนำท่านเดินทางสู่เมืองสิทธิธาเทค (Siddhatek) ระยะทาง 64 กม. ตั้งอยู่ในเขตปกครองของเมืองอามาดนาคา (Ahmadnagar) ซึ่งมีความเชื่อว่า เป็นสถานที่ที่พระวิษณุได้ทรงทำพิธีบูชาพระพิฆเนศ และทรงได้รับพรสมปรารถนา จนมีชัยเหนืออสูรมาธุและไกตภะอสุรา และยังเป็นสถานที่ประสูติของสองพระธิดาแห่งพระพรหม ผู้เป็นพระมเหสีแห่งองค์พระพิฆเนศ คือพระนางสิทธิ และพระนางพุทธะ ในช่วงเวลาที่พระพรหมกำลังรังสรรค์โลกและสรรพสิ่งต่างๆ ตามตำนานปรากฎในคเณศปุราณะ
เที่ยง  รับประทานอาหารกลางวัน แบบ Boxset โดยโรงแรมที่พัก

บ่าย ท่านสักการะ เทวรูปพระพิฆเนศ ณ เทวสถานศรีสิทธิวินายกะ (SHREE SIDDHI VINAYAK TEMPLE) โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ และงวงหันไปทางขวา ซึ่งมีความหมายว่าให้พรสมปรารถนาที่ทันใจ แต่ผู้สักการะนั้นต้องเป็นผู้ที่เคร่งครัดในการสวดภาวนา เทวสถานแห่งนี้ถือได้ว่าเป็นสถานที่เดียวที่มีพระสวยัมภูมูรติที่งวงหันไปทางขวา
วิหารแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาขนาดเล็ก มีถนนที่ตัดตรงสู่เทวสถานแห่งนี้ ซึ่งคาดว่าสร้างในช่วงสมัยสงครามกาเจนดรากาด (Battle of Gajendragad) หรือสงครามระหว่างอาณาจักรมาราธากับอาณาจักรมัยซอร์

ॐ “องค์ที่ 4 พระศรีสิทธิวินายกะ” ประทานมนตราที่จะให้ท่านประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
ทุกประการ ॐ
ได้เวลาพอสมควรนำท่านเดินทางสู่หมู่บ้านเทอูร์ (Theur) ระยะทาง 89 กม. ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นสถานที่ที่ตั้งอาศรมของฤาษีกปิละ ผู้ครอบครองแก้วจินตามณีหรือแก้วสารพัดนึกแห่งองค์อินทร์ และเป็นสถานที่ที่พระพิฆเนศเสด็จลงมาช่วยแย่งชิงแก้วจินตามณีจากคณราช โอรสแห่งกษัตริย์อภิจิตและพระนางกุนวดี ผู้ตกอยู่ในอำนาจแห่งความโลภ สุดท้ายคณราชถูกสังหารลง ณ ที่แห่งนี้ หลังจากฤาษีกปิละได้รับแก้วจินดามณีคืนมา จึงได้อธิษฐานขอองค์พระพิฆเนศให้ประทับอยู่ ณ ที่แห่งนี้ตลอดไป พระพิฆเนศจึงเนรมิตสวยัมภูมูรติเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการประทับอยู่ ฤาษีกปิละจึงได้ถวายแก้วจินดามณีประดับแด่องค์เทวรูป ตามตำนานปรากฎในมุทคลปุราณะ
นำท่านสักการะ เทวรูปพระพิฆเนศ ณ เทวสถานศรีจินดามณี (SHREE CHINTAMANI TEMPLE) โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และงวงหันไปทางซ้าย พระเนตรของเทวรูปประดับด้วยเพชรนิลจินดา ด้านหลังวิหารแห่งนี้ มีทะเลสาบคาดัมธีรธา (Kadambteertha Lake) ซึ่งมีตำนานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องรามยณะ ในตอนที่ฤาษีโคตรมะได้สาปแช่งพระอินทร์ ที่มาเสพสังวาสกับภรรยาของตนผู้มีนามว่านางกาลอัจนา ซึ่งเป็นแม่ของนางสวาหะ พาลี และสุครีพ หรือย่าของหนุมาน โดยฤาษีโคตรมะได้สาปให้พระอินทร์มีโยนีขึ้นตามร่างกายจำนวนพันโยนีหรือสหัสโยนี ทำให้ร่างกายองค์อินทร์เกินเป็นรูตามตัว โดยภายหลังฤาษีโคตมะแนะนำให้พระอินทร์ทรงบูชาพระพิฆเนศ เพื่อเป็นการขอขมากรรมและถอนคำสาป พระพิฆเนศได้ทรงโปรดพระอินทร์ด้วยการให้สรงน้ำ ณ ทะเลสาบแห่งนี้ และรูตามร่างกายของพระอินทร์ได้แปรเปลี่ยนเป็นดวงตาแทน จึงเป็นที่มาของชื่อ พระสหัสสนัย หรือเทพพันตา ได้เวลาพอสมควรนำท่านเดินทางกลับสู่เมืองปูเน่ (Pune) ระยะทาง 30 กม.

ॐ “องค์ที่ 5 พระศรีจินดามณี” ประทานมนตราที่จะให้ท่านสมหวัง
ดังได้อธิษฐานต่อลูกแก้วจินดามณีอันศักดิ์สิทธิ์ ॐ

ค่ำ  รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก
ที่พัก Conrad Hotel Pune หรือเทียบเท่าระดับ 5 ดาว

วันที่ 4 ปูเน่ – เลนยาดรี – รานจานกอน – ปูเน่ - วัดดั๊กดูเศรษฐ์

07.00 น.  รับประทานอาหารเช้าภายในโรงแรมที่พัก
นำท่านเดินทางสู่หมู่บ้านเลนยาดรี (Lenyadri) ระยะทาง 99 กม. ตั้งอยู่ในเขตปกครองของเมือง ปูเน่ ซึ่งมีความเชื่อว่า เป็นสถานที่กำเนิดพระพิฆเนศ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระแม่ปารวตี ปางหนึ่งของพระอุมาเทวี ทรงทำพิธีของบุตร โดยจำเป็นต้องบำเพ็ญเพียรภาวนาอยู่ภายในถ้ำ ระยะเวลาผ่านไป 12 ปี จนกระทั่งถึงวันแรม 4 ค่ำ เดือน 9 หรือวันคเณศจตุรถีในปัจจุบัน พระแม่ปารวตีได้ทรงปั้นหุ่นดินเหนียวและทำการประกอบพิธีกรรมต่ออยู่นั้น ผลแห่งการบำเพ็ญเพียรภาวนาได้สัมฤทธิ์ผล รูปปั้นดินเหนียวกลับกลายมามีชีวิตเป็นองค์พระพิฆเนศในวัยเยาว์ที่มีพระชนม์มายุ 10 พรรษา หรือที่เรียกปางอวตารนี้ว่า “บาล คณปติ” ตามตำนานปรากฏในคเณศปุราณะ
นำท่านสักการะ เทวรูปพระพิฆเนศ ณ เทวสถานศรีคีรีจัตมากา (SHREE GIRIJATMAKA TEMPLE) โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้หันพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ และงวงหันไปทางซ้าย
เทวสถานแห่งนี้เป็นเทวสถานแห่งเดียวที่มีลักษณะแตกต่างจากเทวสถานแห่งอื่น เนื่องจากเป็นเทวสถานที่อยู่ภายในหมู่ถ้ำ ที่มีถ้ำรวมกัน 18 ถ้ำ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นถ้ำของทางศาสนาพุทธ โดยเทวสถานแห่งนี้อยู่ภายในถ้ำอันดับที่ 8 ที่หันหน้าไปทางทิศใต้ และใช้วิธีการขุดเจาะถ้ำเป็นโพรงเข้าไป มีบันไดทางขึ้น 307 ขั้น ภายในเทวสถานมีขนาดพื้นที่ ด้านยาว 15.90 เมตร ด้านกว้าง 15.30 เมตร และมีความสูง 2.10 เมตร ภายในเทวสถานแห่งนี้ไม่มีการใช้หลอดไฟให้แสงสว่าง โดยใช้แสงสว่างจากแสงของพระอาทิตย์ (เทวสถานแห่งนี้จำเป็นต้องเดินขึ้นภูเขา ขอแนะนำให้เตรียมรองเท้าที่สะดวกต่อการเดิน)

ॐ “องค์ที่ 6 พระศรีคีรีจัตมากา” ประทานมนตราที่จะให้ท่านประสบความสำเร็จ
ในการฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวง ॐ
เที่ยง  รับประทานอาหารกลางวัน แบบ Boxset โดยโรงแรมที่พัก
บ่าย นำท่านเดินทางสู่เมืองโอซาร์ (Ozar) ระยะทาง 15 กม. เป็นสถานที่พระพิฆเนศได้รับการบูชาจากเหล่าฤาษีให้ลงมาปราบวิฆนาสูร ผู้ซึ่งเกิดจากการสร้างของพระอินทร์ เพื่อลงมาทำลายพิธีกรรมของกษัตริย์อภินันทะ แห่งนครเหมวัติ แต่กลับทำลายทุกสิ่งทุกอย่างภายในโลก ภายหลังวิฆนาสูรได้ยอมศิโรราบต่ออิทธิฤทธิ์แห่งองค์พระพิฆเนศ และอสูรตนนี้ได้ร้องขอให้พระพิฆเนศ ให้ใช้ชื่อผสมรวมกับของตนกับสวยัมภูมูรติแห่งนี้ว่า “พระศรีวิฆเนศวร” ที่มีความหมายว่า ผู้ขจัดอุปสรรคและภยันตราย ตามตำนานปรากฏในมุทคลปุราณะ
นำท่านสักการะ เทวรูปพระพิฆเนศ ณ เทวสถานศรีวิฆเนศวร (SHREE VIGANESHWAR TEMPLE) โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และงวงหันไปทางซ้าย บริเวณพระเนตรประดับด้วยทับทิม พระนลาฏ (หน้าผาก) ประดับด้วยเพชร และพระนาภี (สะดือ) ประดับด้วยอัญมณี โดยมีพระนางสิทธิกับพระนางพุทธะ 2 พระมเหสี ประทับอยู่ด้านข้างทั้ง 2 ด้าน
เทวสถานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้น ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 1785 โดยสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นโดยดำริของ พลเอกชิมาจิ อัปป้า (SHIMAJI APPA) แห่งแคว้นมหารัชตะ หลังมีชัยชนะจากสงครามกับโปรตุเกสที่ปกครองครองแคว้นวาไซและซาชตี้ ซึ่งเทวสถานแห่งนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคูคาดี้ (Kukadi River)

ॐ “องค์ที่ 7 พระศรีวิฆเนศวร” ประทานมนตราที่จะให้ท่านทำการใดๆ จะประสบความสำเร็จ
โดยไม่เกิดอุปสรรคต่างๆทั้งปวง ॐ

นำท่านเดินทางสู่เมืองรานจานกอน (Ranjagoan) ระยะทาง 64 กม. ตั้งอยู่ในเขตปกครองของเมืองปูเน่ ตามฮินดูคติ ถือว่าเมืองรานจานกอน คือเมืองมณีปุระ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระศิวะได้ทรงทำพิธีบูชาพระพิฆเนศ และทรงได้รับพรสมปรารถนา จนสามารถสังหารตรีปุราสูรด้วยธนูเพียงดอกเดียว ตรีปุราสูรนั้น เป็นบุตรของฤาษีคฤตสมาชที่เกิดจากการจาม และเป็นอสูรผู้บูชาและได้รับพรจากพระพิฆเนศ ตามตำนานปรากฏในคเณศปุราณะ
นำท่านสักการะ เทวรูปพระพิฆเนศ ณ เทวสถานศรีมหาคณปติ (SHREE MAHAGANAPATI TEMPLE) โดยสวยัมภูมูรติองค์นี้หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก และงวงหันไปทางซ้าย และพระนลาฏ (หน้าผาก) มีลักษณะกว้าง โดยมีพระนางสิทธิกับพระนางพุทธะ 2 พระมเหสี ประทับอยู่ด้านข้างทั้ง 2 ด้าน

ॐ “องค์ที่ 8 พระมหาคณปติ” ประธานมนตราที่จะให้ท่านประสบความสำเร็จ
ดั่งสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ ॐ

ได้เวลาพอสมควรนำท่านเดินทางกลับสู่เมืองปูเน่ (Pune) ระยะทาง 65 กม.
นำท่านสักการะ องค์พระพิฆเนศที่ขึ้นชื่อว่าร่ำรวยมากที่สุดในโลก ดั๊กดูเศรษฐ์ (Dagdusheth) และมีความงดงามมากที่สุดองค์หนึง เป็นพระนามของพระพิฆเนศที่ประดิษฐาน ณ เทวสถานดั๊กดูเศรษฐ์ ในเมืองปูเน่ประเทศอินเดีย ที่มีคนเข้ากราบสักการะมากมาย เชื่อว่าผู้ที่ได้มากราบไหว้พระพิฆเนศที่นี่ จะทำให้ความปรารถนาของตนสมหวังประสบความสำเร็จ ร่ำรวยเงินทอง มีโชคมีลาภ เจริญก้าวหน้า งวงพระองค์เป็นเกรียวดูดทรัพย์ ซึ่งผู้คนมากมายที่สมหวังดั่งปรารถนาก็นำเงินทองมาถวายให้เทวสถานแห่งนี้มากมาย ที่ขึ้นชื่อว่าร่ำรวยที่สุดเพราะฐานที่ประดิษฐานองค์พระพิฆเนศ และเครื่องทรงต่างๆ ล้วนเป็นทองคำและเพชรพลอยที่ประมาณมูลค่าไม่ได้

ค่ำ  รับประทานอาหารค่ำ ณ ห้องอาหารของโรงแรมที่พัก
ที่พัก Conrad Hotel Pune หรือเทียบเท่าระดับ 5 ดาว

วันที่ 5 ปูเน่ - มุมไบ – วัดสิทธิวินายัก - วัดพระแม่ลักษมีหน้าทอง - ประตูสู่อินเดีย - ย่านโคลาบา - สนามบินมุมไบ

07.00 น.  รับประทานอาหารเช้าภายในโรงแรมที่พัก
นำท่านเดินทางกลับสู่เมืองมุมไบ (Mumbai) ระยะทาง 145 กม.
เที่ยง  อิสระรับประทานอาหารกลางวัน ใน บริเวณจุดพักรถของทางด่วนปูเน่-มุมไบ
บ่าย นำท่านเข้าสักการะองค์สิทธิวินายัก ณ วัดสิทธิวินายัก (Siddhivinayak Temple) ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองมุมไบ ที่มีเหล่าเซเลบ และดาราบอลลีวูดมาสักการะกันอยู่ตลอด ลักษณะเด่นขององค์นี้ คือ เป็นองค์ปฐมและเป็นองค์ประธานแห่งพระพิฆเนศทุกๆพระองค์ในโลกลักษณมีพระฉวี (ผิว) สีแดงสด ซึ่งเป็นสีของไฟและพลังอำนาจ อีกทั้งยังมีงวงที่ตวัดไปทางเบื้องขวาของพระองค์ อันหมายถึงความยิ่งใหญ่ถึงที่สุด
นําท่านสักการะ วัดพระแม่ลักษมีหน้าทอง (Shree Mahalakshmi Temple) เป็นนวัดที่มีชื่อเสียงที่สุดของอินเดีย สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1831 โดยพ่อค้าชาวฮินดู ตั้งอยู่ในย่านที่ที่ดินมีราคาสูงที่สุดในมุมไบ ภายในประดิษฐานเทวรูปทองคํา พระแม่ลักษมี (Mahalakshmi) ผู้ที่มากราบไหว้ บูชาแห่งนี้จะประสบแต่ความร่ำรวย ความสําเร็จ โชคลาภมากมาย , พระแม่กาลี (Mahakali) คือ ผู้ปกป้องเราจากสิ่งไม่ดี , พระแม่สุรัสวตี (Mahasaraswathi) คือผู้บันดาลความ เฉลี่ยวฉลาด ปัญญาเป็นเลิศ การงานสําเร็จ ซึ้งวัดแห่งนี้เป็นที่นิยมของชาวอินเดียและชาวไทยเดินทางมากราบไว้สักการะมากมาย และบริเวณหน้าวัดยังมีร้านค้าให้บูชาเครื่องราง และรูปบูชาองค์เทพต่างๆ สีสันสวยงามแปลกตา

จากนั้นนำท่านถ่ายภาพกับประตูสู่อินเดีย (Gateway of India) เป็นอนุสาวรีย์ซุ้มประตูโค้งแบบประตูชัย ที่ตั้งอยู่ในนครมุมไบ ประตูสู่อินเดียสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเสด็จฯ เยือนนครมุมไบของพระเจ้าจอร์จที่ 5 และ พระนางมาเรียแห่งเท็ค เมื่อปีค.ศ. 1911 ณ บริเวณอะพอลโลบันเดอร์
สถาปัตยกรรมที่ใช้คือแบบอินเดีย-ซาราเซน (Indo-Saracenic) และอนุสาวรีย์สร้างด้วยหิน บะซอลต์ ความสูง 26 เมตร (85 ฟุต) สร้างเสร็จในปีค.ศ. 1924 ปัจจุบันใช้เป็นสัญลักษณ์สำหรับ
พิธีต้อนรับรัฐมนตรีใหม่ของนครมุมไบ และเช่นกันยังเป็นทางเข้าประเทศอินเดียหากเดินทางมา
ทางมหาสมุทรอินเดีย ประตูสู่อินเดียตั้งอยู่หน้าน้าที่อะพอลโลบันเดอร์ ในทางทิศใต้ของนคร มุมไบ มองออกไปคือทะเลอาหรับบางครั้งเรียกว่าเป็นทัชมาฮาลแห่งมุมไบ ปัจจุบันเป็นสถานที่
ท่องเที่ยวสำคัญของเมือง จากนั้นนำท่านเลือกซือสินค้าของฝาก ณ แหล่งช้อปปิ้งสำคัญของเมืองมุมไบ ย่านโคลาบา (Colaba Causeway) เพียบพร้อมไปด้วยสินค้าหลากหลายชนิด เช่น เครื่องประดับ เพชรพลอย เสื้อผ้า และเครื่องหนัง โดยแต่ละส่วนจะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป รวมไปถึงร้านอาหาร คาเฟ่ที่ขึ้นชื่อของเมืองมุมไบ ที่รวมกันไว้ ณ ย่านนี้
อิสระรับประทานอาหารค่ำ เพื่อไม่เป็นการรบกวนเวลาส่วนตัวของท่าน
ได้เวลาพอสมควรนำท่านเดินทางสู่สนามบินฉัตราปตีศิวะจิ (Chhatrapati Shivaji International Airport) เมืองมุมไบ
23.35 น. ออกเดินทางสู่กรุงเทพมหานครโดยสายการบิน THAI AIRWAYS เที่ยวบินที่ TG318

วันที่ 6 สนามบินสุวรรณภูมิ

05.35 น. ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย โดยสวัสดิภาพ


* ท่านใดมีไฟล์ทบินภายในประเทศต่อ โปรดแจ้งให้บริษัทฯทราบในวันจองทัวร์ *
** ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของตัวท่านเอง **

รายละเอียดที่พัก

ตารางราคาและรายละเอียดอื่น ๆ

แกลลอรี่ภาพ