วิหารแห่งความรัก , ฝรั่งเศษ

Temple de l’Amour หรือ Temple of Love ในกรุงปารีสตั้งอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ที่เกิดจากแม่น้ำสองสาขา ใจกลางความงามในเขต Versailles เมื่อยามอาทิตย์อัสดงเกิดเป็นสีทองพ่องอำไพอันอบอุ่น ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า ศาลาหินอ่อนสีขาวบริสุทธิ์ก็ดูเหมือนจะอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์

จากสถาปัตยกรรมที่ไม่ยิ่งใหญ่อลังการวิหารแห่งความรักดูเหมือนเป็นศาลาแห่งความรัก แต่ความหมายของวิหารแห่งนี้ทำให้มีความยิ่งใหญ่โดยตอนแรกราชินีมีจุดประสงค์ในการสร้างเพื่อเฉลิมฉลองความรักของพระราชินีและพระมหากษัตริย์ที่แสดงถึงความสมบูรณ์แบบในชีวิตค่จองพวกเขา

วิหารแห่งนี้ถูกสร้าขึ้นเมื่อปี 1778 บนเกาะเล็กๆของเมือง Parc เมื่อ Queen Marie-Antoinette ราชินีองค์สุดท้ายของฝรั่งเศสได้จ้างให้สถาปนิกออกแบบและสร้างวัดแห่งนี้ โดยใช้โครงสร้างในแบบ นีโอคลาสสิก นักท่องเที่ยวคู่รักจากทั่วทุกมุมโลก มักจะเลือกแวะไปที่ Temple of Love ในปารีส เพื่อกล่าวคำปฏิญาณตนในงานแต่งงานที่ให้ไว้ซึ่งกันและกัน

วิหารแห่งความรัก ตั้งอยู่ที่สวนในพระราชวังแวร์ซายส์ เมืองแวร์ซายส์ ประเทศฝรั่งเศส เป็นหนึ่งในพระราชวังที่สวยที่สุดในโลก เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะยังไม่ทราบกันว่าที่พระราชวังแห่งนี้มีมุมอีกมุมหนึ่งที่มีความโรแมนติกสุดๆ และได้ถูกเรียกว่าวิหารแห่งความรัก ซึ่งมีลักษณะเป็นศาลาทรงโดมสไตล์กรีกโบราณล้อมรอบไปด้วยสวนสวยสไตล์ยุโรปถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 โดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ตรงกลางศาลาเป็นที่ตั้งของกามเทพคิวปิดที่สลักจากหินอ่อนสีขาวกำลังทำท่าอ่อนช้อยยืนค้ำธนู และวิหารแห่งนี้เองยังสามารถขอพรเรื่องความรักได้อีกด้วย

วัดเสียไห่เฉิงหวง , ไต้หวัน

วัดเสียไห่เฉิงหวง(Xia Hai City God Temple, 台北霞海城隍廟) เป็นศาลเจ้าเล็กๆที่มีพระประธานเป็นเทพเจ้าที่คอยปกปักษ์รักษาเมืองหรือ เทพเฉิงหวง(City God) ที่ย้ายมาจากมลทลฟูเจี้ยน(Fujian)ของประเทศจีนในยุคราชวงศ์ฉิง(Qing Dynasty) เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1859 และยังอยู่มาจนถึงปัจจุบันต่างจากหลายๆวัดดังในไทเปซึ่งอาคารดั้งเดิมมักจะถูกทำลายลงจากภัยพิบัติต่างๆมาแล้ว

วัดเสียไห่เฉิงหวง ตั้งอยู่ที่ย่านริมแม่น้ำตั้นสุ่ย ใกล้กับสวนสาธารณะ เป็นศาลเจ้าเล็กๆ ที่มีพระประธานเป็นเทพเจ้าที่คอยปกปักษ์รักษาเมืองหรือเทพเฉิงหวง (City God) เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1859 ภายในมีเทพประดิษฐานอยู่มากมายหลายองค์ทำให้มีคนไทเปหลากหลายกลุ่มมาขอพรกันที่นี่ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่นิยมมาขอพรเรื่องความรัก ไปจนถึงเหล่าภรรยาที่มาขอพรเทพให้มีชีวิตคู่ที่ราบรื่น และที่นี่ยังมีรองเท้านำโชคที่ถือเป็นเครื่องรางให้ชีวิตคู่ราบรื่นอีกด้วย โดยเชื่อกันว่าเมื่อซื้อรองเท้าแล้วให้นำไปวนที่กระถางธูป 3 รอบจากนั้นให้นำกลับไปเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าห้องนอน หันหัวรองเท้าเข้าหาตู้ซึ่งจะทำให้สามีไม่หนีไปไหน

ค่าเข้าชม ฟรี-

วัดหลงซาน , ไต้หวัน

วัดหลงซาน ตั้งอยู่ที่เมืองไทเป ประเทศไต้หวัน เป็นหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่มีอายุกว่า 300 ปี และมีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทเป ถูกสร้างขึ้นช่วงปีค.ศ. 1738  เพื่อเป็สถานที่สักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวจีน แต่เดิมสร้างขึ้นเพื่อสักการะเจ้าแม่กวนอิมเป็นหลัก แต่ก็จะมีเทพเจ้าองค์อื่นๆ ตามความเชื่อของชาวจีนอีกมากกว่า 100 องค์ เช่น เจ้าแม่ทับทิมที่เกี่ยวข้องกับการเดินทาง, เทพเจ้ากวนอูเรื่องความซื้อสัตย์และหน้าที่การงาน และเทพเย่ว์เหล่าหรือผู้เฒ่าจันทราที่เชื่อกันว่าเป็นเทพผู้ผูกด้ายแดงให้สมหวังด้านความรัก

ในอดีต วัดหลงซาน เคยได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่องค์เจ้าแม่กวนอิมในพระตำหนักไม่ได้รับความเสียหายใดๆ สิ่งนี้ก็ยิ่งทำให้ชาวไต้หวันเกิดความเลื่อมใสและศรัทธามากขึ้นไปอีก รวมถึงได้มีการบูรณะวัดและสร้างใหม่จนสวยงามกว่าในสมัยก่อนมาก

หินแต่งงานเมะโอโตะ อิวะ , ญี่ปุ่น

หินแต่งงาน ตั้งอยู่ใน ศาลเจ้าฟุตามิโอคิทามะ (Futami Okitama Shrine) เมืองอิเสะชิมะ จังหวัดมิเอะ หน้าตาเป็นหินทั้ง 2 ก้อน ถูกคล้องเข้าด้วยกันโดยเชือกเส้นใหญ่ ให้อารมณ์เหมือนด้ายมงคลในงานแต่งงาน ด้วยความที่มันมีลักษณะรูปร่างเหมือนกับคู่รักที่อยู่ด้วยกันมานาน ผ่านอุปสรรคเท่าไหร่ก็ไม่หวั่นไหว ชาวญี่ปุ่นเลยนิยมมาขอพรด้านความรักกันที่นี่

สำหรับหิน 2 ก้อนนี้ เชื่อกันว่าเป็นตัวแทนของคู่สามี-ภรรยา เทพอิซานากิ (Izanagi no Oka

mi) และเทพอิซานามิ (Izanami no Okami) ซึ่งเป็นเทพผู้สร้างโลก และให้กำเนิดเทพเจ้าต่างๆ โดยเชือกฟางที่เชื่อมโยงหินทั้ง 2 ก้อนนี้เข้าด้วยกัน เรียกว่า “ชิเมนาวะ” (Shimenawa) เป็นเชือกมงคลที่จะมีพิธีเปลี่ยนทุกๆ 3 ครั้งต่อปี

และอีกหนึ่งสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของศาลเจ้าแห่งนี้ ก็คือรูปปั้นกบที่อยู่รอบๆ ซึ่งคำว่ากบในภาษาญี่ปุ่นนั้นเรียกว่า คาเอะรุ (カエル, kaeru) ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่าคาเอะริ (帰り, Kaeri) ที่มีความหมายว่า “การกลับมา” สื่อความหมายถึงใครที่พลัดพรากจากกันอยู่ก็จะได้มาเจอกัน

ศาลเจ้าแมวอิมาโดะ , ญี่ปุ่น

ศาลเจ้าอิมาโดะ หรือที่คนไทยเรียกกันติดปากว่า “ศาลเจ้าแมว” ตั้งอยู่ในย่านเดียวกันกับวัดอาซากุสะเป็นศาลเจ้าที่โด่งดังในด้านความรัก สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1063 และยังเป็นต้นกำเนิดของแมวกวักอีกด้วย สำหรับจุดกำเนิดของแมวกวักนั้นเล่ากันว่า มีคุณยายคนหนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในย่านอาซากุสะ ฝันเห็นแมวหน้าตาน่ารักเข้ามาบอกว่า “หากสร้างตุ๊กตารูปร่างเหมือนเราจะมอบความโชคดีให้” ต่อมาจึงมีการทำตุ๊กตาแมวกวักขึ้นในแบบอิมาโดะยากิ  ซึ่งเป็นงานปั้นเซรามิกแบบไม่เคลือบทำขึ้นที่อิมาโดะ เป็นสไตล์หนึ่งของงานเครื่องปั้นดินเผาแบบญี่ปุ่นจึงเกิดเป็นความเชื่อที่สืบต่อกันมาในที่สุดว่าหากจะขอโชคลาภหรือความรักให้มาขอกับแมวกวักที่นี่ และจากการที่ศาลเจ้าตกแต่งเต็มไปด้วยรูปปั้นแมวสุดน่ารักนั้นจึงทำให้ที่นี่กลายเป็นศาลเจ้ายอดนิยมของทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติอีกด้วย

ลานน้ำพุชาฟเทสเบอรีเมมโมเรียล , อังกฤษ

ลานน้ำพุชาฟเทสเบอรีเมมโมเรียลเป็นจัตุรัสลานน้ำพุของลอนดอน ตั้งอยู่ใกล้กับพระราชวังบัคคิงแฮม กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยที่นี่มีประติมากรรมสำริดบนยอดน้ำพุที่มีชื่อเสียงอยู่รูปหนึ่งนั่นก็คือ ประติมากรรมรูปเทพเจ้าอีรอส (Eros) หรือเทพเจ้าคิวปิดซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องของความรัก ที่นี่มีนักท่องเที่ยวและคู่รักมากมายต่างก็แวะมาเยี่ยมชมสถาปัตกรรมกันอย่างไม่ขาดสายและยังสามารถมาอธิษฐานขอพรด้านความรักได้อีกด้วย

วัดอาม่า , มาเก๊า

วัดอาม่า (A-Ma Temple 媽閣廟) เป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากของ เกาะมาเก๊า (Macau) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะ สร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1488 โดยผสานความเชื่อทางพุทธศาสนา ลัทธิเต๋า และคติความเชื่อพื้นบ้านเข้าด้วยกัน ทำให้ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดย UNESCO เมื่อปี ค.ศ. 2005 และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวต่างก็เคารพนับถือเป็นอย่างมาก

  จริงๆ แล้ว บริเวณนี้จะมีอ่าวชื่อว่า อาม่าก๊อก (A Ma Goa) ที่แปลว่า “อ่าวของอาม่า” ก่อนจะเพี้ยนจนกลายเป็นชื่อ “มาเก๊า” อย่างเช่นทุกวันนี้ แต่เนื่องจากปัจจุบันมีการถมพื้นที่ริมทะเลมากขึ้น วัดอาม่าจึงไม่ได้อยู่ริมทะเลอย่างในอดีต

       ทั้งนี้ วัดอาม่ามีตำนานที่กล่าวถึงหญิงสาวผู้หนึ่ง ชื่อว่า หลิงม่า มีความคิดอยากจะข้ามมายังคาบสมุทรอ้าวเหมิน จึงขอให้ชาวเรือพาไปข้ามฝั่งไปด้วย ทว่าเกิดพายุโหมกระหน่ำ ทำให้เรือหลายลำที่เดินทางไปพร้อมๆ กันจมลงสู่ใต้ท้องทะเล ยกเว้นเรือที่มีหลิงม่า ที่สามารถเดินทางถึงฝั่งได้โดยสวัสดิภาพ เมื่อถึงฝั่งนางก็ลอยหายไป ผู้คนจึงเชื่อว่านางเป็นเทพธิดาแห่งท้องทะเล จึงได้สร้างวัดขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่เทพทิดาแห่งท้องทะเล

ภายในวัดมีสถานที่สำคัญหลายจุด เช่น ประตูทางเข้า ซุ้มประตูแห่งการรำลึก หอสวดมนต์ หอแห่งความเมตตา หอเจ้าแม่กวนอิม และศาลาทางพุทธศาสนา ชื่อว่า ศาลาเซิ้งเจ้าชานลิน (Zhengjiao Chanlin) แต่ละสถานที่ต่างก็สร้างขึ้นในช่วงเวลาที่ต่างกัน โดยมี หอแห่งความเมตตา (Hall of Benevolence) เป็นหอที่เก่าแก่ที่สุด สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1488 

   ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐาน อาม่า หรือที่ชาวไทยเรียกว่า องค์เจ้าแม่ทับทิม ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชาวเรือ และชาวประมงในสมัยก่อนเป็นอย่างมาก เพราะเชื่อว่าท่านจะนำพาความโชคดี และความปลอดภัยแก่ผู้เดินทาง ส่วนปัจจุบันนั้น ผู้คนนิยมไปกราบไหว้ขอพรเรื่องหน้าที่การงาน การเงิน และความปรารถนาต่างๆ และเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก นอกจากนี้ก็ยังมี ก้อนหินสลักรูปเรือ ที่เชื่อว่าเป็นก้อนหินก้อนแรกที่อาม่า หรือเทพธิดาแห่งท้องทะเลเหยียบลมสู่พื้นดิน จึงได้รับการเคารพกราบไหว้จากผู้คนที่ศรัทธาด้วยเช่นกัน

สุสานพระนางจางฮีบิน , เกาหลี

สุสานพระนางจางฮีบินหรือที่เรียกว่าสุสานแดบินมโย ตั้งอยู่ที่ซอโอรึง (Seooleung) เมืองโคยัง (Goyang) จังหวัดคยองกี (Gyeonggi-do) ที่นี่เป็นสุสานหลวงราชวงศ์โชซอนที่มีเนินฝังพระศพของพระราชวงศ์หลายพระองค์และสาเหตุที่ทำให้สุสานแห่งนี้เป็นที่โด่งดังเรื่องการขอพรด้านความรักก็เพราะหลังจากที่นำพระศพมาฝังที่สุสานแห่งนี้ก็ได้มีต้นไม้ทะลุก้อนหินขึ้นมา ประกอบกับสมัยที่พระนางจางฮีบินยังมีชีวิตเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าซุกจงและมีชื่อเสียงในเรื่องความงามพิชิตใจชายจึงเชื่อกันว่าหากใครที่ยังโสดหากมาขอพรที่นี่จะได้มีคนรักในไม่ช้า

ใครเคยดูซีรี่ย์ประวัติศาสตร์ ทงอี จอมนางคู่บัลลังก์ หรือ จางอ๊กจอง ตำนานรักแห่งจอมนาง จะต้องรู้จักพระสนมจางฮีบินอย่างแน่นอน เพราะเป็นตัวตั้งตัวดีสำคัญของเรื่อง ซึ่งตัวละครหลักของทั้งสองเรื่อง เช่น พระเจ้าซุกจง มเหสีอินฮยอน พระสนมฮีบิน (จางอ๊กจอง) หรือพระสนมซุกบิน (ทงอี) ต่างก็เป็นตัวละครที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์เกาหลี เนื้อเรื่องเกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าซุกจง กษัตริย์องค์ที่ 19 แห่งราชวงศ์โชซอน จริง ๆ แล้ว นอกจากสองเรื่องที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีภาพยนตร์ ซีรี่ย์อีกหลายเรื่องหลายเวอร์ชั่นที่เกี่ยวข้องกับพระสนมฮีบิน ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ตามใจผู้กำกับ ส่วนเราก็ไม่สามารถตัดสินได้ว่าเรื่องไหนตรงกับความเป็นจริงที่สุด หรือความจริงเป็นอย่างไร เพราะประวัติศาสตร์นั้นมักถูกจารึกโดยผู้ชนะ

วัดโบมุนซา , เกาหลี

วัดโบมุนซา (Bomunsa Temple, 보문사 강화) แห่งเขตคังฮวา(Ganghwa)อยู่ที่เกาะ Seongmodo เป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่สมัยซิลล่า(Silla)ประมาณปีค.ศ. 635 ภายในบริเวณวัดจึงมีต้นไม้เก่าแก่อายุหลายร้อยปีอยู่หลายต้น มีถ้ำที่มีพระพุทธรูปอยู่ภายใน มีที่ทำอาหารแบบโบราณของพระสงฆ์ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติเกาหลี ที่ด้านหลังของวัดจะมีหินรูปทรงแปลกที่ว่ากันว่า คล้ายกับคิ้วของคนอยู่ สูง 10 เมตร เรียกว่า Nunseop โดยจะมีรูปวาดพระพุทธรูปอยู่ด้วย และยังมีจุดชมวิวทะเลตะวันตกที่สวยงาม จนมีภาพยนตร์เกาหลีหลายเรื่องมาถ่ายทำกันที่นี่

ค่าเข้าชม

ผู้ใหญ่ 2000 วอน

วัยรุ่น 1500 วอน

เด็ก 1000 วอน

แกลลอรี่ภาพ