วัดอาซากุสะ
ก่อนที่จะไปเดินเที่ยวกันให้ทั่ววัดอาซากุสะ วัดนี้เป็นวัดพุทธที่นับถือ เจ้าแม่กวนอิม หรือ พระโพธิสัตว์คันนน (Kannon Bosatsu) และเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในโตเกียวเลยทีเดียว มีประวัติความเป็นมาว่า เมื่อปี ค.ศ.628 โดยมี 2 พี่น้องชาวประมง พบองค์เจ้าแม่กวนอิมขนาดเล็กที่ แม่น้ำซูมิดะ (Sumida) และได้นำกลับเข้าหมู่บ้าน และหัวหน้าหมู่บ้านจึงประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิมไว้ที่บ้านเพื่อเก็บรักษา และเปิดให้ชาวบ้านมากราบไหว้
หลังจากนั้นก็ได้บริจาคพื้นที่บ้านให้สร้างวัดเซ็นโซจิขึ้นในปี ค.ศ.645 ค่ะ ต่อมาวัดนี้ได้ถูกทำลายลงในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และหลังจากนั้นก็มีการสร้างใหม่ขึ้นมาอีกเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่และความสงบสุข เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวของชาวญี่ปุ่น
วัดอาซากุสะ วัดที่มีประตูและโคมแดงขนาดยักษ์โดดเด่น เป็นจุดถ่ายรูปห้ามพลาดของคนที่มาเที่ยวย่านอาซากุสะของโตเกียว คนเลยเรียกกันจนติดปากว่าวัดอาซากุสะ แถมตัวอักษรคันจิของชื่อวัดก็เป็นตัวเดียวกันกับชื่อย่านอาซากุสะแต่อ่านออกเสียงต่างกัน
วัดโทไดจิ
วัดโทไดจิ ความหมายตามตัวอักษรคือ วัดใหญ่แห่งทิศตะวันออก ตั้งอยู่ที่เมืองนารา ภูมิภาคคันไซ ถือเป็นโบราณสถานที่มีความเก่าแก่และสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นและยังถือว่าเป็นวัดที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในนาราเลยก็ว่าได้
วัดโทไดจิ สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 752 ในช่วงที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด สิ่งก่อสร้างที่สำคัญของวัดนี้ คือ วิหารไม้หลังใหญ่ ไดบุตสึเดน (大仏殿) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อโต (ไดบุตสึ) ว่ากันว่าเป็นอาคารไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีความสูง 157 ฟุต ความยาว 187 ฟุต แม้ว่าวิหารไม้ที่เห็นในปัจจุบันนี้มีขนาดเพียงแค่ 2 ใน 3 ของวิหารหลังเดิมที่เคยถูกไฟไหม้ไปจากภัยสงคราม แต่ก็ยังคงมีความยิ่งใหญ่จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
บริเวณทางเดินเข้าสู่ประตูใหญ่ของวัดโทไดจิเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึกมากมายและมักจะคึกคักไปด้วยผู้คนนักท่องเที่ยวรวมถึงนักเรียนที่มาทัศนศึกษา ภาพที่เห็นจนชินตาระหว่างทางเดินเข้าสู่วัดก็คือ ฝูงกวางที่เดินปะปนไปกับกลุ่มนักท่องเที่ยว บ้างก็กำลังป้อนขนมเซมเบ้ให้กับฝูงกวาง บางคนก็ถูกกวางแย่งสิ่งของที่อยู่ในมือด้วยคิดว่าเป็นของกิน เป็นที่ตื่นเต้นและสนุกสนาน
วัดชิเท็นโนจิ
วัดชิเท็นโนจิ ซึ่งเป็นวัดชื่อดังของโอซาก้า (Osaka) ที่มีอายุกว่า 1,400 ปี ที่นี่มีจุดเด่นตรงเจดีย์ห้าชั้นที่มีความสวยงามตามสไตล์ญี่ปุ่น และยังเป็นต้นแบบของเจดีย์แดงที่มีวิวภูเขาไฟฟูจิที่เราเห็นกันบ่อยๆ ตามรูปโปรโมทการท่องเที่ยวญี่ปุ่น
วัดชิเท็นโนจิ เป็นวัดพุทธในย่านเทนโนจิ (Tennoji) ของเมืองโอซาก้า (Osaka) สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 593 โดยเจ้าชายโชโตคุ (Prince Shotoku) ถือได้ว่าเป็นวัดพุธอย่างเป็นทางการแห่งแรกของญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในวัดเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น
ทั้งนี้ตัวอาคารต่างๆ ภายในวัดได้ถูกพายุที่พัดถล่มในปี ค.ศ. 1934 และยังโดนเพลิงไหม้เผาทำลายจากการทิ้งระเบิดในช่วงปี ค.ศ. 1945 จนได้รับความเสียหายอย่างหนัก จนกระทั้งปี ค.ศ. 1963 จึงได้มีการบูรณะอาคารต่างๆ ขึ้นมาใหม่ดังที่เห็นในปัจจุบัน
วัดคิโยะมิซุ
วัดคิโยะมิซุ (Kiyomizu-dera)หรือที่เราๆรู้จักกันในชื่อ วัดน้ำใส นับเป็นวัดที่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังระดับจังหวัดเท่านั้นนะคะ แต่ยังเป็นวัดที่พูดได้เลยว่าดังที่สุดในญี่ปุ่นก็ไม่ผิดเลยล่ะค่ะ เนื่องจากการที่วัดมีสถาปัตยกรรมโบราณที่งดงามชวนตะลึงจนยูเนสโกได้บันทึกให้วัดแห่งนี้ขึ้นเป็นมรดกโลก (UNESCO world heritage sites) ซึ่งที่มาของชื่อวัดน้ำใสก็มาจากการที่วัดแห่งนี้นั้นได้ถูกสร้างขึ้นปี ค.ศ. 780 แล้วได้มีน้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากน้ำตกโอโตวะ (Otowa Waterfall) ไหลผ่านตัววัดนั่นเองล่ะค่ะ จุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์การท่องเที่ยวของที่นี่ก็คงไม่พ้น อาคารไม้ขนาดใหญ่ที่แค่การสร้างก็น่าทึ่งแล้ว เพราะการสร้างทั้งหมดนี้ไม่มีการใช้ตะปูใดๆทั้งสิ้น ถือว่าเป็นภูมิปัญญาของคนโบราณที่สุดยอดเลยจริงๆ เสาของอาคารมีความสูงถึง 13 เมตรจากพื้นดิน และโถงอาคารถูกสร้างให้ยื่นออกไปภายนอกทำให้บริเวณนี้เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็นเมืองเกียวโตในฤดูต่างๆ และเป็นจุดชมซากุระและชมใบไม้แดงที่ขึ้นชื่อของเกียวโตอีกด้วย
วัดน้ำใสเป็นสถานที่ชมซากุระ และใบไม้แดงที่มีชื่อเสียงมากของเมืองเกียวโต เมื่อถึงฤดูการชมดอกไม้หรือใบไม้ จะมีการเปิดไฟซ่องที่ต้นไม้และอาคารของวัดในช่วงหัวค่ำ ซึ่งสวยงามแปลกตาไปจากตอนกลางวันด้วย
เมื่อพูดถึงส่วนต่างๆภายในวัดแล้วนั้นจะมีอาคารหลักๆทั้งหมด 9 อาคาร ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคม 2017นั้นได้มีการทยอยไปบูรณะปรับปรุงซ่อมแซมอาคารหลักหลายๆส่วน และจะมีกำหนดการเสร็จสิ้นประมาณปี 2020 โดยทางวัดจะมีการบูรณะและซ่อมแซมอาคารเหล่านี้ที่ละอาคาร และในปัจจุบันอาคารโอคุโนะอิง (Okunoin Hall ), อาคารอะมิดา (Amida Hall) และอาคารชากะ (Shaka Hall) อยู่ในระหว่างการซ่อมแซมบูรณะ นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ 3 ชั้นตรงทางเข้าที่กำลังเตรียมปรับปรุงเช่นกัน ใครที่ไปช่วงนี้แล้วอยากจะดูหลายๆส่วนให้ครบอาจจะผิดหวังกันบ้าง แต่ส่วนที่เหลือที่ยังคงเปิดให้เข้าชมก็สวยงามไม่แพ้กันเชื่อว่าความงดงามของสถานที่ สถาปัตยกรรม รวมไปถึงวิวทิวทัศน์ที่ได้สัมผัสกันไม่ทำให้เสียอรรถรสในการเข้าชมอย่างแน่นอน
ศาลเจ้าฟูชิมิอิรานิ
ศาลเจ้าฟูชิมิอิรานิ ที่คนไทยทั้งหลายชอบเรียกกันว่าศาลเจ้าแดงหรือศาลเจ้าจิ้งจอกเป็นศาลเจ้าชินโต(Shinto) ถ้าจะพูดว่าศาลเจ้าแห่งนี้ฮอตฮิตมากที่สุด เห็นได้จากโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ต่างๆจะต้องมีภาพของที่นี่ให้เห็นอยู่เสมอ ที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองเกียวโต(Kyoto) มีชื่อเสียงโด่งดังจากประตูโทริอิ (Torii Gate) หรือเสาประตูสีแดงที่เรียงตัวกันข้างหลังศาลเจ้าจำนวนหลายหมื่นต้นจนเป็นทางเดินได้ทั่วทั้งภูเขาอินาริ ที่ผู้คนเชื่อกันว่าเป็นภูเขาศักดิ์สิทธ์ โดยเทพอินาริจะเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์ การเก็บเกี่ยวข้าว รวมไปถึงพืชผลไร่นาต่างๆ และมักจะมีจิ้งจอกเป็นสัตว์คู่กาย จึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่จะเห็นรูปปั้นจิ้งจอกอยู่จำนวนมากภายในศาลเจ้านั่นเอง
สำหรับคนที่มีเวลาน้อยก็สามารถเดินไปจนถึงแค่ศาลเจ้าหลักหลังจากผ่านทางเดินคู่ขนานเสาโทริอิแล้วก็ได้ แต่ถ้ามีเวลามากหน่อยก็เดินไปเรื่อยๆจนถึงจุดชมวิวที่แยกโยซึซึจิ(Yotsutsuji)ก็จะได้บรรยากาศดีเหมือนกัน เป็นระยะทางประมาณ 1 กิโมลเมตรขึ้นเขา
ว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้มีความเก่าแก่มากถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ก่อนสร้างเมืองเกียวโตซะอีกนะคะ คาดกันว่าจะเป็นช่วงประมาณปีค.ศ. 794 หรือกว่าพันปีมาแล้ว นอกจากจะมีไฮไลท์อยู่ที่เสาประตูสีแดงแล้วนั้นตัวอาคารศาลเจ้าเองก็มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน ทั้ง Romon Gate ทางด้านหน้า และตัวอาคารหลักที่เรียกว่า Honden และยังมีส่วนประกอบศาลเจ้าที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง กระจายกันอยู่รอบๆบริเวณ และทางด้านหลังศาลเจ้าจะเป็นทางเดินขึ้นเขา ที่ปกคลุมไปด้วยเสาโทริอิ โดยเสาโทริอิสีแดงนั้นก็ล้วนมาจากการบริจาคจากส่วนต่างๆทั้งจากบุคคลและองค์กรเลยน่ะค่ะ สามารถสังเกตเห็นได้จากตัวหนังสือข้างหลังเสา โดยราคาเริ่มจากไม่กี่ร้อยเยนสำหรับเสาต้นเล็กๆ ไปจนถึงหลายล้านเยนสำหรับเสาต้นใหญ่ๆ
ไม่เพียงแค่ส่วนหลักๆที่น่าสนใจเท่านั้นนะคะระหว่างทางยังจะได้เห็นศาลเจ้าเล็กๆอยู่ตลอดทาง แม้กระทั่งเสาโทริอิแดงเล็กๆก็มีให้เห็นกันด้วยซึ่งก็มาจากคนทั่วไปที่แหล่ะค่ะที่จะบริจาคเล็กๆน้อยๆ นอกจากนั้นถ้าเหนื่อยแล้วก็ยังมีร้านอาคารท้องถิ่นและร้านขนมที่ขายอาหารแบบชุด แต่มีความพิเศษอยู่ตรงที่จะมีการตั้งชื่อให้เข้าธีมจิ้งจอกอย่างซูชิจิ้งจอกหรืออูด้งจิ้งจอก ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมายังมักจะนิยมเดินเที่ยวชมภูเขาอินาริแค่ถึงจุดชมวิวที่เรียกว่า ทางแยกโยซึซึจิ(Yotsutsuji intersection) เพื่อสามารถชมวิวเมืองเกียวโตงามๆและสูดอากาศสดชื่นได้เต็มปอดไปพร้อมๆกัน เพราะถ้าจะเดินให้ทั่วทั้งภูเขาแล้วเนี่ยอาจจะต้องใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมงเลยทีเดียว